ชีวิตป.เอกเทอมห้า

Posted on August 7, 2015

2


สำหรับเทอมที่แล้วอ่านได้ที่นี่
(https://amchiclet.wordpress.com/2015/06/04/%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%9b-%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88/)

เทอมนี้อ่านหนังสือเยอะที่สุดในชีวิต

เดียร์บอกว่าไม่เคยเห็นเราขยันเท่านี้มาก่อน
สาเหตุหลักๆ คือ เทอมนี้ต้องสอบข้อสอบที่เรียกว่า qual (อ่านควอว์)

ฉะนั้นเรื่องแรกที่จะพูดถึงเลยก็เป็นเรื่องสอบ qual เนี่ยแหละ


สอบ qual


ชีวิตเด็กป.เอก (อย่างน้อยก็ในอเมริกา) มีจุดเปลี่ยนหลักๆอยู่ประมาณ 3 จุด

เข้าไปตอนแรกๆ ต้องพยายามเรียนวิชาต่างปูพื้นฐานเก็บหน่วยกิตให้ครบ

เสร็จแล้วประมาณภายในปีสอง ต้องสอบสิ่งที่เรียกว่าข้อสอบ qual ให้ผ่าน
คำว่า qual ย่อมาจาก qualifying exam แปลได้ประมาณว่า ข้อสอบวัดคุณภาพ

เสร็จแล้วก็ทำวิจัยรัวๆ ทำวิจัยไปซักพักก็จะได้หัวข้อวิทยานิพนธ์ ต้องเสนอหัวข้อนั้นให้กับทางคณาจารย์ อันนั้นเรียกว่าข้อสอบ prelim

และสุดท้ายต้องทำวิจัยรัวๆต่อไป และนำเสนอหัวข้อวิจัยเราทั้งหมดให้กับสาธารณะชน
เพื่อพิสูจน์ให้คณาจารย์เห็นว่า หัวข้อวิทยานิพนธ์นั้นมันสามารถทำให้สำเร็จได้
ขั้นตอนสุดท้ายนี่เรียกว่า defense

ถึงแม้ว่าหนทางยังอีกยาวไกล แต่เรายินดีที่จะบอกเพื่อนๆว่า
เมื่อเทอมที่แล้วเราสอบ qual ผ่านแล้วเว้ย!

วิธีการสอบ qual ของแต่ละมหาวิทยาลัยมักจะแตกต่างกันไป
แม้แต่คณะต่างๆก็สอบ qual ต่างกัน
และภายในคณะ แต่ละหัวข้อวิจัยก็สอบ qual ต่างกัน

ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในรูปแบบของการสอบ
แต่เป้าหมายหลักของการสอบ qual ของทุกที่ก็เหมือนกัน
คือ สอบเพื่อวัดว่าเหมาะสมที่จะเรียนปริญญาเอกหรือเปล่า

ซึ่งความเหมาะสมที่จะเรียนปริญญาเอกหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับว่า

(1) มีความรู้พื้นฐานสาขาวิชาที่สนใจหรือเปล่า

อันนี้สำคัญเพราะว่า การที่เราจะพัฒนาความรู้ปัจจุบันของมนุษย์
เราต้องหาคำตอบ สำหรับคำถามที่ไม่เคยมีใครในโลกตอบได้
และการที่ไม่รู้พื้นฐานสาขาวิชาเป็นตัวบอกว่าเราไม่พร้อมอย่างแรง
เพราะเด็กป.เอกควรจะรู้ว่า คนก่อนๆที่เคยพยายามแก้ไขปัญหานี้ได้ลองอะไรไปแล้วบ้าง

(2) มีทักษะในการแชร์ความรู้ให้โลกหรือเปล่า

อันนี้ก็สำคัญเพราะว่า การที่จะทำให้ความรู้ปัจจุบันของมนุษย์ก้าวหน้าได้
เราจะต้องสามารถบันทึก แบ่งปัน และเล่าให้คนอื่นฟังได้
เพื่อที่ว่าคนอื่นสามารถเอาไปพัฒนาต่อได้

(3) มีทักษะในการติชม หาข้อดีข้อเสียของงานคนอื่นได้หรือเปล่า

อันนี้สำคัญเพราะว่า ก่อนที่เราจะสามารถพัฒนางานให้ดีกว่าของที่เจ๋งที่สุดในโลกได้
เราจะต้องทำความเข้าใจ ของที่เจ๋งที่สุดในโลกให้ได้ก่อน ว่ามีข้อดี ข้อเสียยังไง
เพื่อจะได้พัฒนาในส่วนด้อยหรือหาวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่าวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบันให้ได้

วิธีที่อาจารย์ภาควิชา programming language และ compiler (สาขาที่เราสนใจ) วัดนักศึกษาก็คือ

อย่างแรก มอบหมายเปเปอร์ที่เกี่ยวกับงานวิจัยเรามาให้หนึ่งเปเปอร์
แล้วให้เรา present เปเปอร์นั้นให้กับโปรเฟสเซอร์สามคน
present เสร็จแล้วต้องสามารถบอกข้อดีข้อเสียของเปเปอร์นั้น และตอบคำถามที่อาจารย์มีให้ได้
อันนี้ให้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการ present และถามตอบ

อย่างที่สอง
มีเปเปอร์ (บทความ) สุดยอดในตำนานประมาณ 20 เปเปอร์ที่เกี่ยวกับ programming language และ compiler ให้เราอ่าน

11006366_10152735864961989_2836940294073777627_n

ชั่วโมงที่สอง (หลังจากจบช่วง present เปเปอร์) ก็จะเป็นการถามคำถามอะไรก็ได้จาก 20 เปเปอร์นั้น
อาจารย์จะถามลึกแค่ไหน จากเปเปอร์ไหนก็ได้
เค้าจะดูวิธีการตอบคำถามของเรา และดูว่าเรารู้ และไม่รู้แค่ไหน

เราเห็นความโหดของข้อสอบนี้ตั้งแต่หน้าร้อนปีที่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้เตรียมตัวดีเท่าที่ควร
ปีใหม่ก็ใช้เวลากับครอบครัว ชิวเกิน
เราจึงมีเวลาเตรียมสอบแค่ตั้งแต่เปิดเทอมจนถึงว่า เมื่อไรเค้าจะให้สอบก็เมื่อนั้น (ประมาณ 2-3 เดือน)

ตั้งแต่เปิดเทอม สิ่งที่เราทำก็คือ พยายามอ่านเปเปอร์ในตำนานให้ครบ
ซึ่งเปเปอร์ในตำนานบางอันนี่ แมร่งยากชิบหายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ยกตัวอย่างเช่น เปเปอร์เนี้ย
มีแค่ 16 หน้า แต่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตที่เคยพยายามทำความเข้าใจมาก่อน

อีก 19 เปเปอร์อ่านง่ายกว่านี้ แต่สำหรับคนธรรมดาๆอย่างเราก็ยากอยู่ดี

ก็ได้แต่ทำดีที่สุดแล้วพยายามคุยกับคนที่เคยสอบมาแล้ว
หรือคนที่จะสอบพร้อมๆกัน เพื่อวัดความเข้าใจ

แล้ววันหนึ่งเราก็ได้อีเมล
อีเมลนั้นบอกว่า อีก 20 วันเจอกันจ้าาา เตรียมตัว present ให้ดี นี่คือเปเปอร์ที่เอ็งต้อง present

หลังจากได้อีเมลนั้น เราก็ตัดสินใจตัดขาดจากเพื่อน 20 วัน
(ซึ่งปกติเราเป็นคนติดเพื่อนมากกกกกกก สัปดาห์นึงจะต้องเจอเพื่อนอย่างน้อย สามวัน)

ทุกๆวันเราอยู่บ้านอ่านเปเปอร์และพยายามทำความเข้าใจกับมัน
เราสมัคร spottify เพื่อจะได้เปิดเพลง jazz เป็นฉากหลังขณะอ่านหนังสือ
พี่เยลลี่ (แมวของเรา) ก็ได้ผลบุญไป พ่ออยู่บ้านแทบทั้งวัน ทุกวัน
โดนแมวนั่งตักจนเมื่อย

มีซ้อม present กับคนสามกลุ่ม

กลุ่มแรกเป็นเพื่อนที่อยู่คนละสาขาวิชา
พวกนี้มักจะให้ comment เกี่ยวกับภาพรวมของเปเปอร์ที่เรา present ได้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

กลุ่มที่สองเป็นเพื่อนที่อยู่สาขาวิชาใกล้เคียง
พวกนี้ทำเสียเซ้ว อย่างแรง เพราะถามคำถามเยอะมากจนเราไม่สามารถ present ให้จบได้
และถามคำถามที่เราไม่รู้คำตอบด้วย
จากการ present ให้กลุ่มที่สองเราจึงกลับไปแก้ slide อย่างแรงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจารย์อาจจะถามได้

กลุ่มที่สามเป็นเพื่อนที่รู้เรื่องเปเปอร์ที่เรา present และสามารถถามคำถามยากๆได้
กลุ่มนี้ผ่านไปด้วยดี และเราก็ได้ซ้อมการตอบคำถามอย่างดี

จนกระทั่งถึงวันสอบ
เป็นวันศุกร์ 16.00-18.00 น. (เวลาที่อาจารย์อยากกลับบ้านไปหาลูกหลาน)

เราก็เข้าไปในห้องสอบ เปิด slide รอ อาจารย์ทุกคนมาจนครบ
พอทุกคนมา ก็เราจัดไป
present ตามที่ซ้อมไว้

มีติดขัดนิดหน่อย อาจารย์คนนึงถามค่อนข้างเยอะ แต่อาจารย์อีกคนนึงตอบแทนให้เยอะมาก จนเราแทบจะไม่ต้องตอบ

จบ presentation รู้สึกว่า ผ่านไปได้ไม่แย่เท่าไร ชั่วโมงแรก

ชั่วโมงที่สองถึงช่วงตอบปัญหาจากเปเปอร์

สรุปว่า ที่เค้าถามก็เน้นพื้นฐานปึ๊ก ไม่ถามรายละเอียดมาก
อาจารย์คนนึงถามน้อยมาก แล้วก็ถามจากหนึ่งเปเปอร์ซึ่งสอนในห้องเรียนด้วยซ้ำ

ผ่านไปชั่วโมงที่สองก็จบลงไปได้
จังหวะออกจากห้องสอบ ก็ออกมาคิดว่า เอ ตอบอะไรไปบ้าง ถูกป่าววะ แบบมึนๆเบลอๆ

ผลสอบก็ไม่รู้ทันที
ถึงแม้ว่าอาจารย์แทบจะตกลงกันหลังสอบเสร็จเดี๋ยวนั้น
แต่เพื่อความยุติธรรมสำหรับทุกคน เค้ารอทุกคนสอบเสร็จก่อนแล้วประกาศทีเดียว

ผ่านไปหนึ่งเดือน ผลสอบออกมาแล้ว

ผ่าน!

เป็นความยินดีที่สุดยอดมากในชีวิต
มีอาจารย์เทพ ระดับโลก เห็นพ้องต้องกันว่า เราคู่ควรจะเรียนปริญญาเอก
ถึงจังหวะนี้เราก็ฮึดสู้กับสิ่งที่จะตามมาแล้ว


การวิจัย


ย้อนความจากคราวที่แล้ว

เป้าหมายหลักๆของงานวิจัยของเราก็คือ ทำให้ verified compiler สร้าง code ที่เร็วเทียบเท่า compiler ธรรมดา
ขั้นตอนแรกเพื่อทดสอบไอเดียก็คือลอง optimize code กับมือ แล้วดูว่ามันเร็วขึ้นแค่ไหน

จากการทดลองเบื้องต้นในเทอมนี้ รู้สึกว่ามันเร็วขึ้นไม่มาก

แปลว่า

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถทำการ optimize code ด้วย verified compiler และพิสูจน์ความถูกต้องได้
ไม่ว่าจะสวยงาม ยอดเยี่ยมเท่าไร
code ก็ไม่ได้เร็วขึ้นขนาดนั้น

เดวิดเริ่มเห็นว่าโปรเจคนี้อาจจะไปไม่ได้ไกล เลยบอกกับเราว่า เดี๋ยวเราลอง pivot (นี่ ใช้ศัพท์ startup ซะด้วย)
เปลี่ยนโปรเจคนี้เป็นโปรเจคเปรียบเทียบ ความแข็งแกร่ง compiler หลายๆชนิดเฉยๆ มีโอกาส publish เปเปอร์ได้มากกว่า

และหลังจากนั้นอยากให้เราทำโปรเจคต่อจาก เด็ก ป.เอกที่เพิ่งจบไป (ชื่อว่า ให้ชวน ว่าง เป็นคนจีน)

โปรเจคที่เราจะรับต่อก็คือ ทำให้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา R สามารถทำงานได้เร็วขึ้น
เพราะเล็งเห็นในอนาคตว่า big data เดี๋ยวนี้ อะไรๆก็ใช้ R เยอะ
ถ้าเราพัฒนาตรงนั้นได้ จะเป็นประโยชน์กับโลก

อีกหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการวิจัยคือ
จากที่เล่าให้ฟังตอนที่แล้ว เปเปอร์เราได้ผ่านเข้า conference ที่อิตาลี
ขอขี้โม้ต่ออีกนิดว่า conference นี้เป็นของสาขา software engineering ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อว่า ICSE (อ่านว่า อิ๊กซี่)

เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

โมเส้น (เจ้าของโปรเจค) กำลังจะมีลูก เลยไปไม่ได้
ขอให้เราไป present เปเปอร์ที่อิตาลี ให้โลกได้ฟัง

เช็ดดู้ว นี่มันประสบการณ์ตื่นเต้นครั้งใหญ่ในชีวิต

ก็เลยมีการวิ่งเต้น หาทุนภายในและนอกคณะ เพื่อจะได้มีตังค์เดินทางไป conference ได้
ช่วงจบๆเทอมจึงเต็มไปด้วยการแก้ powerpoint และการซ้อม present งาน
แทนที่จะได้ชิวปิดเทอม และไปฝึกงานที่ google อย่างไม่ต้องกังวลอะไร


การเรียน


เนื่องจากมีคนเตือนมานับสิบ ว่าเทอมไหนที่สอบ qual อย่าซ่าลงเรียนเยอะ

เราก็เชื่อฟังอย่างดี

เทอมนี้ลงวิชาเดียวชื่อว่า automated deduction
สอนโดย เอลซ่า (ชื่อเดียวกับตัวใน frozen)

สนุกอย่าบอกใคร

เป็นวิชาที่สอนให้ใช้ theorem prover (โปรแกรมช่วยพิสูจน์เพราะพิสูจน์บนกระดาษอาจจะผิดพลาดได้เยอะ)
เพื่อพิสูจน์สิ่งต่างๆ ตอนจบก็ให้พิสูจน์อะไรดีๆซักอย่าง
หลังเลิกเรียนเราไป hangout กับ เอลซ่า เพื่อขอความช่วยเหลือในโปรเจคอยู่ตลอด
เอลซ่า ท่านก็ชอบเล่าเรื่องเยอะแยะ ก็สนุกดี ฟังคนแก่เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้

ตอนจบเทอม เอลซ่า บอกว่านักเรียนกลุ่มที่เรียนอยู่ตอนนี้เป็นกลุ่มที่ดี
ขอเรียนเชิญไปเที่ยว ฟาร์มส่วนตัว
เออ ก็ดีเนอะ อาจารย์เป็นกันเองกับลูกศิษย์ ชวนไปเที่ยวฟาร์มส่วนตัว

แต่แล้วเราก็อดไป เดี๋ยวเล่าให้ฟังด้านล่าง


กิจกรรม


ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เยอะอยู่เหมือนกัน เพราะกิจกรรมเป็นสิ่งที่สูบฉีดพลังงานให้เราเรียนต่อได้

เริ่มนี่ละกัน เทอมนี้งาน potluck ก็ได้เล่นดนตรีที่รักอีกตามเคย
ถ้าจำไม่ผิดมีเพลง เธอทั้งนั้น สภาวะทิ้งตัว
เฮ้ยซวยละ จำได้แค่สองเพลง คุ้นๆว่าเตรียมไว้ 4-5 เพลงนะ

เนื่องจากเทอมนี้ macdonald เพิ่งเปิด (ถ้าจำไม่ผิด)
ก็มักจะมีการนัดกิน macdonald กันแบบค่อนข้างรัวอยู่เหมือนกัน
เป็นการปลดปล่อยความเครียดโดยเฉพาะช่วงใกล้สอบ ด้วยการกิน junk food

เทอมนี้มีคนจบอยู่เยอะเหมือนกัน
เราก็เลยพยายามเล่นกีฬา และทำกิจกรรมกับคนที่กำลังจบให้เยอะที่สุด

ตั้งแต่เตะบอล
11168590_10152868288896989_9027965298364394928_n

หรือเล่นบาส
11041114_10152885682766989_500193673925859356_n

หรือย่างบาร์บีคิวกินด้วยกัน
10419006_10152846475441989_3918535964789258177_n

หรือไปฝึกมวยไทย
11034204_10152751294511989_3446872083676506605_n

ในขณะที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในอเมริกาเยอะ
ที่เมืองไทยก็มีเหมือนกัน

คือ ไอ้บอย เพื่อนสนิทแต่งงาน
ดีใจด้วยอีกรอบ
เป็นอีกหนึ่งงานที่อดไป (ชิเชี่ยยยย อดไปมาหลายงานแล้ว)
แต่อย่างน้อยก็ได้ facetime เข้าไปแสดงความยินดี
10408919_10152811935896989_1907012613841654206_n

เทอมนี้หิมะตกใหญ่ๆหนึ่งครั้ง เลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
11009843_10152754242321989_6329902163336793284_n

ก่อนจบเทอมก็ไปถ่ายรูปเพื่อนๆรับปริญญา
11241024_909897229054040_9090896652801768889_n 11392940_10152965535841989_7579943089363167005_n 11407002_10152965534841989_7565486329681664266_n

แต่น่าเสียดายมากที่ไม่ได้ไปแบบเต็มที่
ก็เพราะไอ้เปเปอร์ที่ต้อง present ที่อิตาลี ทำให้เราต้องรีบเดินทางออกจากมหาลัยเพื่อบินไปต่างประเทศ
ถึงแม้จะฟังดูเป็นโอกาสที่ดี แต่การไม่ได้ไปงานรับปริญญาเพื่อนมันเซ็งมาก

นอกจากนั้นยังมีการพากษ์บอลเอาฮา

Photo May 06, 9 13 32 PM

(เป็นคลิปวีดีโอดูได้ที่นี่)

นอกนั้นก็เกิดเหตุการณ์สลดอยู่
เจ้านายเก่าสมัยทำงานอยู่ fedex (เป็นโปรแกรมเมอร์นะ ไม่ใช่พนักงานส่งของ แหะๆ)
ซึ่งได้กลายเป็นเพื่อนกันมาเรื่อยๆ ได้พูดคุยขอคำแนะนำมาเรื่อยๆ
เป็นมะเร็งแล้วก็เสียชีวิตไป

อึ้งเลยทีเดียว

ก็ขับขึ้นไปงานศพเค้า (วันที่เอลซ่า ชวนนักเรียนไปฟาร์มพอดี)
เป็นงานที่เศร้าอยู่

เดวิดแต่งงานกับภรรยามีลูก 3 คน
ภรรยาเดิมเสียชีวิต
เดวิดก็แต่งงานใหม่ คนนี้ก็ดูรักกันมาก
แล้วเดวิดก็เสียชีวิต
ลองนึกดูว่าลูก 3 คนนั้นคือ พ่อแม่ทางสายเลือดเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
เป็นงานที่เศร้ามาก
ภรรยาซึ่งรักเดวิดมาก ก็เศร้ามากเหมือนกัน
งานนั้นน้ำตาซึมไปเลย

เปลี่ยนจากเรื่องเศร้าเป็นเรื่องดีบ้าง

สุดท้ายนี้ เดียร์มาหาช่วง spring break
เราเลยขับรถขึ้นไปเมือง milwaukee รัฐ wisconsin กัน
ซึ่งเป็นเมืองที่เราเคยอยู่ด้วยกันมา 3 ปี
11082638_10152799357691989_6648831123352683069_n

เท่าที่เล่ามาเหมือนเทอมนี้มีเหตุการณ์ค่อนข้างเยอะอยู่
ในขณะที่เขียนอยู่นี่ก็ใกล้ที่จะจบเทอม 6 ซึ่งเป็นเทอมที่ฝึกงานกับ google
คิดว่าเทอม 6 คงมีเรื่องเล่าดีๆให้ฟังไม่แพ้กัน
แล้วเจอกานนนนน

Posted in: Uncategorized